ประวัติย่อของทีม NBA ตอนที่ 16 – Miami Heat

ประวัติย่อของทีม NBA ตอนที่ 16 – Miami Heat

 

ประวัติทีม Miami Heat

ฝั่งที่สังกัด – ฝั่งตะวันออก Southeast Division
ปีที่ก่อตั้ง – 1988
ชื่อเดิม –
Miami Heat (1988-ปัจจุบัน)
สถานที่ตั้ง – เมือง Miami รัฐ Florida
ชื่อสนามเหย้า – American Airlines Arena
เจ้าของทีม – Micky Arison
CEO – Nick Arison
GM (General Manager) – Andy Elisburg
HC (Head Coach) – Erik Spoelstra
ทีมสังกัดใน G-League – Sioux Falls Skyforce
จำนวนครั้งที่ได้แชมป์ลีก – 3 (2006, 2012, 2013)
จำนวนครั้งที่ได้แชมป์ฝั่งทวีป – 6 (2006, 2011-2014, 2020)
จำนวนครั้งที่ได้แชมป์ Division – 14 (1997-2000, 2005-2007, 2011-2014, 2016, 2018, 2020)
จำนวนเบอร์เสื้อที่ทำการ Retired – 6 (1, 3, 10, 23, 32, 33)

ประวัติทีมโดยสังเขป

ถึงแม้ว่าจริงๆ แล้วทีมได้มีการก่อตั้งขึ้นในปี 1987 พร้อมกับ Hornets ซึ่งจริงๆ แล้วในตอนนั้นทางลีกมีแผนที่จะขยายออกไปถึง 4 ทีม แต่จะแบ่งเป็น Heat กับ Hornets เริ่มแข่งฤดูกาลแรกคือ 1988/89 จากนั้นจะเป็น Wolves และ Magic ที่จะเริ่มแข่งฤดูกาลแรกคือ 1989/90 ทีมจึงได้ประวัติว่าก่อตั้งขึ้นในปี 1988 นั่นเอง

ทีมมีผลงานในฤดูกาลเปิดตัวที่ไม่ดีนัก เริ่มจากการที่แพ้รวดทั้ง 17 นัดแรกที่ทำการลงแข่งขัน แถมในตอนนั้นลีกยังกำหนดให้ Heat อยู่สายตะวันตกที่ Midwest Division อีกต่างหาก ทำให้การเดินทางของทีมถือว่ามีระยะทางที่ไกลมากที่สุดในลีก ทั้งหมดนี้ทำให้ทีมมีผลงานในฤดูกาลเปิดตัวเพียงแค่ 15-67 เท่านั้น

แต่ก็ถือเป็นโชคดีในความโชคร้าย ที่ทีมสามารถ Draft ดาวรุ่งอย่าง Glen Rice ที่จะพัฒนาฝีมือจนกลายเป็นแกนหลักของทีมได้ในอนาคต ถึงแม้ว่าผลงานของเขาจะไม่ดีนักในช่วงแรก จนทำให้ทีมจบด้วยผลงานแค่ 18-64 จากฤดูกาลที่สองในลีกก็ตาม

ในฤดูกาลถัดมา ทีมมีสิทธิ์ Draft ในรอบแรกถึง 2 สิทธิ์ (อันดับ 9 และ 12) จากการ Trade อันดับที่ตัวเองได้ในปีเดียวกัน (อันดับ 3) แต่น่าเสียดายที่ทั้ง 2 คนที่เลือกมากลับไม่สามารถโชว์ฟอร์มได้อย่างที่คาดหวังไว้ ยังดีที่ผู้เล่นในทีมต่างก็สามารถสั่งสมประสบการณ์และพัฒนาฝีมือได้มากขึ้นเรื่อยๆ จนมีผลงานดีขึ้นไปอีกที่ 24-58 แล้วในตอนนี้

จนกระทั่งในปี 1991 ทีมได้เลือกดาวรุ่งอนาคตไกลอีกคนอย่าง Steve Smith เข้าสู่ทีม เขาได้ผนึกกำลังกับ Rice และทำให้ทีมจบด้วยสถิติ 38-44 แต่ก็สามารถเข้ารอบ Playoffs ได้เป็นครั้งแรกของประวัติศาสตร์ทีม ถึงแม้จะถูกกวาดตกรอบแรกไปอย่างรวดเร็วก็ตาม

แต่น่าเสียดายที่ Smith กลับต้องมาได้รับบาดเจ็บในฤดูกาลถัดมา จึงมีส่วนช่วยทีมได้ไม่มากนัก ทีมจบฤดูกาล 1992/93 เพียงแค่ 36-46 และชวดเข้ารอบเป็นปีที่สองติดต่อกัน

อย่างไรก็ดี ปีถัดมาสภาพทีมก็กลับมาสมบูรณ์ได้อีกครั้ง และทีมจบฤดูกาล 1993/94 ด้วยสถิติ 42-40 และกลับเข้ารอบ Playoffs ได้อีกครั้ง ถึงจะตกรอบแรกเช่นเดิม แต่ก็ถือว่ามีผลงานที่ดีขึ้นหลังจากที่ไม่ได้ถูกกวาดตกรอบเช่นเดิมแล้วนั่นเอง

แต่ทีมกลับตัดสินใจ Trade ผู้เล่นหลายคนรวมถึง Smith ออกจากทีม ทั้งที่ผลงานของเขาถือว่าค่อนข้างดี แต่ทีมนั้นกลับต้องการผู้เล่นที่สามารถเข้ามายกระดับทีมได้เลยในทันที โชคร้ายที่ผู้เล่นที่เข้ามาแทนต่างก็ไม่สามารถตอบสนองต่อความต้องการนั้นได้ ทำให้ทีมถูกวิจารณ์ถึงผลงานอย่างหนักในเวลาต่อมา

เมื่อเจ้าของทีมเริ่มทนกับเสียงวิจารณ์และผลงานไม่ไหว จึงได้มีการประกาศขายทีมในปี 1995 และกลายเป็น Micky Arison ที่มารับช่วงต่อแทน

ทีมจบฤดูกาล 1994/95 ด้วยสถิติ 32-50 แต่อย่างน้อย Rice ก็ได้สร้างประวัติศาสตร์ทำไปได้คนเดียว 56 แต้มในเกมที่เจอกับ Magic ซึ่งในลีกตอนนั้นยังไม่เคยมีใครทำแต้มได้สูงขนาดนี้มาก่อน

 

การมาของ Pat Riley

หลังจากจบฤดูกาล ทีมได้เปลี่ยน HC เป็น Pat Riley ที่ในตอนนั้นกำลังทำผลงานได้ดีกับ Knicks ให้เข้ามาคุมทีมแทนคนเก่าพร้อมกับควบตำแหน่งประธานของทีมได้สำเร็จ นอกจากนั้นยังสามารถคว้าตัวอดีตผู้ช่วยของเขาอย่าง Randy PFund ให้มาเป็นรองประธานได้อีกด้วย

ซึ่งพอ Riley เข้ามา เขาก็ได้ทำการเดิมพันครั้งใหญ่ในทันที ด้วยการส่งผู้เล่นถึง 6 คน รวมไปถึง Rice ที่ฟอร์มดีที่สุดในทีมไปให้กับ Hornets เพื่อแลกกับผู้เล่นที่นำโดย Alonzo Mourning เข้าสู่ทีม

การมาของ Mourning ทำให้ผลงานของ Heat ดูดีขึ้นผิดหูผิดตาไปในทันที ทีมมีผลงานช่วงต้นฤดูกาล ทีมเอาชนะไปได้ถึง 11 จาก 14 นัดแรกของฤดูกาล 1995/96 ถือเป็นสถิติที่ดูดีมากๆ เลยทีเดียว

นอกจากนั้นในช่วงกลางฤดูกาล Riley ก็ยังสามารถเดินหน้าคว้าผู้เล่นระดับสูงอย่าง Tim Hardaway มาช่วยทีมได้อีก ทำให้ถึงแม้ว่าทีมจะถูก Bulls เขี่ยตกรอบแรก Playoffs ไปอย่างไว แต่ก็ถือว่าทีมเริ่มมีทิศทางที่ดีขึ้นเรื่อยๆ แล้วเช่นกัน

ในฤดูกาลถัดมา ทีมได้คว้าผู้เล่นอีกหลายคนที่จะกลายมาเป็นตัวสำคัญอย่าง PJ Brown และ Jamal Mashburn เข้าสู่ทีม ซึ่งทั้งคู่กลายเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้ผลงานของทีมดูดีขึ้นอย่างมากเมื่อเทียบกับหลายปีที่ผ่านมา ทีมสามารถคว้าแชมป์ Division ได้สำเร็จด้วยผลงาน 61-21 และสามารถทะลุไปได้ถึงรอบชิงแชมป์สายเป็นครั้งแรกด้วยเช่นเดียวกัน ก่อนที่จะไปแพ้ให้กับ Bulls เจ้าเดิม

ทีมยังสามารถรักษาผลงานที่ดีได้อย่างต่อเนื่องจากสถิติ 55-27 ในฤดูกาล 1997/98 และคว้าแชมป์ Division ได้เป็นสมัยที่สองติดต่อกัน แต่ผลงานใน Playoffs กลับแย่ลงกว่าเดิม ทีมไปแพ้ให้กับคู่ปรับอย่าง Knicks เพียงแค่รอบแรกเท่านั้น

แต่ในปีถัดมา หลังจากที่ Bulls ได้มีการแตกทีม ทำให้ Heat กลายเป็นหนึ่งในตัวเต็งที่จะมีโอกาสคว้าถ้วยแชมป์ไปแทนได้ ซึ่งในฤดูกาลปกติทีมก็สามารถตอบสนองต่อความคาดหวังนั้นได้เป็นอย่างดี Mourning ทำผลงานโดดเด่นจนสามารถคว้ารางวัลผู้เล่นเกมรับยอดเยี่ยมประจำฤดูกาลไปครองได้สำเร็จ และจบฤดูกาลด้วยการคว้าตำแหน่งจ่าฝูงฝั่งตะวันออกได้เป็นครั้งแรกของประวัติศาสตร์ทีม เพียงแต่ทีมกลับตกรอบแรกใน Playoffs ไปอย่างไม่น่าเชื่อ ด้วยการแพ้ให้กับคู่ปรับเจ้าเดิมอย่าง Knicks นั่นเอง

ต่อมาในปี 1999 ทีมได้เปิดตัวสนามเหย้าใหม่อย่าง American Airlines Arena และใช้สนามนี้เป็นสนามเหย้าตั้งแต่ปีนี้เป็นต้นมาจนถึงปัจจุบัน ทีมยังคงมีผลงานที่ยอดเยี่ยมในฤดูกาลปกติ กับสถิติ 52-30 และคว้าแชมป์ Division ติดต่อกันเป็นปีที่ 4 พร้อมกับการที่ Mourning ได้รางวัลผู้เล่นเกมรับยอดเยี่ยมปีที่สองติดต่อกันด้วย

แต่แล้วทีมก็ต้องพบกับความปราชัยอีกครั้ง ด้วยน้ำมือของ Knicks ที่คอยตามหลอกหลอนมาปีแล้วปีเล่า ปีนี้ก็ไม่ยกเว้นเช่นกันหลังจากที่ได้เจอกันใน Playoffs รอบสอง และกลายเป็น Knicks ที่คว้าชัยชนะไปได้ในท้ายที่สุด

หลังจากที่ทีมมีผลงานใน Playoffs ไม่ดีนักมาหลายฤดูกาลติดต่อกัน Riley จึงตัดสินใจเปลี่ยนแปลงผู้เล่นแกนหลักบางส่วนออกจากทีม แถมโชคร้ายที่ Mourning ได้รับบาดเจ็บจากการเดินทางกลับมาจากการลงเล่นให้ทีมชาติใน Olympic จนแทบจะไม่ได้มีส่วนร่วมกับทีมในฤดูกาล 2000/01 เลยจนกระทั่งท้ายฤดูกาล

อย่างไรก็ดี ทีมยังสามารถเข้ารอบ Playoffs ไปได้ด้วยสถิติ 50-32 แต่ก็ต้องไปพ่ายแพ้ให้กับ Hornets ตกรอบแรกไปอย่างเจ็บปวดอีกครั้ง และหลังจากจบฤดูกาลนี้ Hardaway ก็ได้ย้ายทีมไป ปิดฉากยุคของคู่หู Mourning-Hardaway ลงแต่เพียงเท่านี้

 

ยุคของ Dwayne Wade ช่วงแรก

หลังจากการจากไปของ Hardaway ผลงานของทีมก็ดรอปลงอย่างทันตาเห็นทันที ทีมไม่ได้เข้ารอบ Playoffs 2 ปีติดต่อกัน และ Mourning ก็ได้แยกทางกับทีมไปหลังจากจบฤดูกาล 2002/03 ส่วน Riley ก็ถอยจากบทบาท HC เพื่อไปทุ่มให้กับบทบาทประธานทีมเพียงอย่างเดียว ทำให้ทีมเข้าสู่โหมดการสร้างทีมใหม่อย่างเต็มตัว

ทีมพยายามสร้างขุมกำลังสายเลือดใหม่อย่างรวดเร็ว นอกจากจะนำตัวผู้เล่นมากประสบการณ์อย่าง LaMar Odom และ Rafer Alston แล้ว ทีมยังสร้างความแปลกใจด้วยการ Draft ดาวรุ่งอย่าง Dwayne Wade ในบทบาท Shooting Guard ทั้งที่หลายฝ่ายกลับมองว่าทีมน่าจะต้องการ Point Guard ที่ยังคงมีปัญหาอยู่มากกว่า แต่เวลาต่อมาก็ได้พิสูจน์แล้วว่าการเลือกดาวรุ่งคนนี้เข้าสู่ทีมนั้น สร้างผลตอบแทนได้มากเพียงใด

ทีมไม่ต้องใช้เวลานานเลยในการสร้างทีมใหม่ หลังจากที่ทำผลงานในฤดูกาล 2003/04 ด้วยสถิติ 42-40 หลุดเข้ารอบด้วยอันดับ 4 ฝั่งตะวันออกได้อย่างน่าเหลือเชื่อ ก่อนที่จะไปแพ้ให้กับ Pacers ไปในรอบที่สองของ Playoffs แต่กระนั้นก็ถือว่าทีมเริ่มมีแกนหลักและแนวทางในการสร้างทีมระยะยาวแล้วนั่นเอง

ทำให้ในปีถัดมา ทีมได้เล่นใหญ่ขึ้นอีกด้วยการคว้าสุดยอดผู้เล่นอย่าง Shaquille O’Neal มาจากยอดทีมอย่าง Lakers เข้าสู่ทีม พร้อมกับการที่ทีมได้อดีตผู้เล่นอย่าง Steve Smith และ Mourning ที่กลับมาเล่นให้กับทีมอีกครั้ง

ทีมจบฤดูกาล 2004/05 ด้วยสถิติ 59-23 แถมยังสามารถไปได้ถึงรอบชิงแชมป์สาย ก่อนที่จะโดนแชมป์เก่าอย่าง Pistons คว้าชัยไปได้ในเกมที่ 7 พลาดท่าเข้ารอบชิงแชมป์ลีกไปอย่างน่าเสียดายสุดๆ

หลังจบฤดูกาล ทีมจึงเดินหน้าหาผู้เล่นมากประสบการณ์มาเสริมเพิ่มเติมอีก นำโดย Gary Payton, Antoine Walker และ Jason Williams ทำให้ทีมมีขุมกำลังที่ดูสมบูรณ์แบบเอามากๆ ถึงแม้ว่าอายุเฉลี่ยของผู้เล่นในทีมจะค่อนข้างสูงกว่าทีมอื่นในขณะนั้นก็ตาม

และจากการที่ Riley ได้กลับเข้ามารับบทบาท HC เป็นรอบที่สองในช่วงกลางฤดูกาล 2005/06 ทำให้ทีมยังสามารถรักษาผลงานในฤดูกาลปกติที่ 52-30 พร้อมเข้ารอบไปได้แบบไม่ยากเย็นนัก

ในที่สุดความฝันของทีมก็เป็นจริง เมื่อทีมสามารถเอาชนะ Mavericks ไปได้ในรอบชิงแชมป์ลีกในเกมที่ 6 พร้อมกับทำสถิติเป็นทีมที่สามในลีกที่กลับมาเอาชนะได้หลังจากตามหลัง 0-2 เกมในรอบชิงแชมป์ลีกอีกด้วย ถือเป็นฤดูกาลที่ยิ่งใหญ่สำหรับทีมจริงๆ

อย่างไรก็ดี ทีมกลับทำผลงานในช่วงต้นฤดูกาล 2006/07 ได้ไม่ดีนัก โดยเฉพาะนัดเปิดสนามที่แพ้ Bulls คาบ้านแบบยับเยินไปถึง 108-66 ทำให้กลายเป็นสถิติแพ้ในบ้านย่ำแย่ที่สุดมาจนถึงปัจจุบัน ผนวกกับอาการบาดเจ็บของสองแกนหลักทั้ง Wade และ O’Neal ถึงแม้ว่าทีมจะยังเข้ารอบ Playoffs ด้วยสถิติ 44-38 แต่ก็ตกรอบแรกไปอย่างรวดเร็ว หมดราคาแชมป์เก่าลงอย่างสิ้นเชิง

 

เข้าสู่การสร้างทีมใหม่ และยุคของ Dwayne Wade ช่วงที่สอง

 

ในฤดูกาล 2007/08 ทีมจึงตัดสินใจโละผู้เล่นสูงอายุหลายคนออกจากทีมโดยเหลือแกนหลักไว้แค่ Wade-Shaq-Mourning เพียงแค่นั้น แต่ซ้ำร้าย Mourning กลับต้องได้รับบาดเจ็บจนต้องเข้ารับการผ่าตัดพร้อมกับปิดฤดูกาล ทีมจึงตัดสินใจโละ O’Neal ออกจากทีม และปล่อยให้ Wade ได้พักฟื้นร่างกายเพื่อรักษาอาการบาดเจ็บเรื้อรังอย่างเต็มที่ในช่วงท้ายฤดูกาล ส่งผลให้ทีมเก็บผลงานได้แค่ 15-67 เท่านั้นในฤดูกาลนี้ พร้อมกับการยุติบทบาท HC อีกครั้งของ Riley โดยได้ทำการดันผู้ช่วยอย่าง Erik Spoelstra ให้มาทำหน้าที่คุมทีมแทนนับจากนั้น

ในการ Draft ปี 2008 ทีมได้สิทธิ์ในการ Draft อันดับ 2 ในตอนแรกทีมได้มองหาข้อเสนอในการ Trade สิทธิ์อันนี้ แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่มีข้อเสนอที่น่าสนใจ ทีมจึงได้เลือก Michael Beasley รวมไปถึงคนอื่นอย่าง Mario Chalmers เข้าสู่ทีมในปีนี้

ทั้งสองคนมีส่วนช่วยทีมอย่างมากตั้งแต่ปีแรกที่ได้เล่นในลีกอาชีพ พร้อมกับการที่ Wade ระเบิดฟอร์มสุดยอด ทำแต้มเฉลี่ยต่อเกมสูงถึง 30.2 แต้มต่อเกม มากที่สุดในลีกขณะนั้น ทำให้ทีมกลับมาเข้ารอบ Playoffs ได้อีกครั้งด้วยสถิติ 43-39 แต่ก็ดันไปพลาดท่าให้กับ Hawks ตกรอบแรกอย่างน่าเสียดาย

ในปีถัดมาทีมมีผลงานช่วงต้นและท้ายฤดูกาลที่โหดมากๆ เริ่มจาก 7-1 ในช่วงแรก ก่อนที่จะปิดท้ายด้วย 12-1 ในช่วงท้าย ทำให้จบฤดูกาล 2009/10 ด้วยสถิติ 47-35 ดีขึ้นกว่าฤดูกาลที่แล้วเล็กน้อย แต่ก็ต้องมาพลาดท่าตก Playoffs รอบแรกอีกครั้ง ทำให้ทีมเริ่มคิดที่จะหาผู้เล่นที่จะมาช่วยเหลือ Wade และยกระดับทีมให้จงได้

 

 

ยุคแห่ง Big 3

ในที่สุดความหวังของ Heat ก็เป็นจริง เมื่อทีมมีเพดานค่าเหนื่อยที่เหลือสูงถึง 48 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ในปี 2010 ทำให้ทีมสามารถเซ็นสัญญาผู้เล่นระดับ Superstar ถึงสองคน ทั้ง Chris Bosh จาก Raptors และ LeBron James จาก Cleveland Cavaliers ที่หมดสัญญากับต้นสังกัดเก่าทั้งคู่ ทำให้ก่อกำเนิดเป็น Big 3 พร้อมกับเป็นตัวเต็งแชมป์ไปในทันที

ในฤดูกาล 2010/11 ช่วงต้นฤดูกาลทีมกลับทำผลงานได้ไม่เป็นไปตามที่คาดหวังไว้ ทำให้มีข่าวลือหนักมากว่าโค้ช Spoelstra อาจส่อแววตกงานได้ แต่สุดท้ายแล้วทีมก็เร่งฟอร์มขึ้นมาได้สำเร็จ สามารถเอาชนะต่อเนื่องไปได้ 12 นัดรวด และ Big 3 ทั้งสามคนก็ติด All-Star ในปีนี้ได้อีกด้วย ก่อนที่จะจบฤดูกาลด้วยสถิติ 58-24

แต่น่าเสียดายที่ทีมไม่สามารถครองแชมป์ได้ ทีมได้พลาดท่าให้กับ Mavericks ไปในรอบชิงแชมป์ลีกในเกมที่ 6 โดยจุดอ่อนสำคัญกลับเป็น James ที่ทำผลงานในช่วง Quarter สุดท้ายได้ไม่ดีเอาเสียเลยทั้ง Series

อย่างไรก็ดี ในฤดูกาล 2011/12 ทีมก็สามารถแก้มือกลับมาคว้าแชมป์สมัยที่สองให้กับทีมได้สำเร็จ ด้วยการเอาชนะ Thunder ไปได้ในรอบชิงแชมป์ลีกเพียงแค่ 5 เกมเท่านั้น หลายฝ่ายให้ความเห็นว่าจุดนี้อาจจะเป็นจุดเริ่มต้นสู่การเดินหน้าคว้าแชมป์รัวๆ ให้กับทีมก็เป็นได้

ข่าวลือดังกล่าวยิ่งได้มีการกล่าวถึงมากขึ้นไปอีก เมื่อฤดูกาล 2012/13 ทีมสามารถเซ็นสัญญาหนึ่งในสุดยอดมือปืนอย่าง Ray Allen เข้าสู่ทีมได้สำเร็จ ทำให้ทีมมีขุมกำลังโดยรวมที่ดูแข็งแกร่งมากขึ้นกว่าฤดูกาลที่แล้วที่คว้าแชมป์ได้ด้วยซ้ำ

ฤดูกาลนี้ทีมได้สร้างสถิติที่น่าทึ่งมากๆ กับผลงาน 40-2 ที่ถือว่าเป็นสถิติ Run ต่อเนื่องที่ยอดเยี่ยมที่สุดในประวัติศาสตร์ของลีกมาจนถึงปัจจุบัน ก่อนที่จะจบฤดูกาลด้วยสถิติ 66-16 และเดินหน้าคว้าแชมป์ลีกด้วยการเอาชนะ Spurs ในรอบชิงแชมป์ลีกได้ตามความคาดหมาย

ในฤดูกาล 2013/14 ผลงานในช่วงต้นฤดูกาลก็ยังถือว่าร้อนแรงอย่างต่อเนื่อง หลังจากทำผลงานไปได้ 22-6 ดีที่สุดในประวัติศาสตร์ของทีม แถม James ยังมีการทำสถิติ 61 แต้ม สูงที่สุดในอาชีพและของทีมแซงหน้า Rice ในเกมที่เอาชนะ Knicks ไปได้อีกด้วย

แต่ทีมไม่สามารถไล่ล่าแชมป์ต่อเนื่องเป็นสมัยที่สามติดต่อกันได้ หลังจากที่ไปแพ้ให้กับคู่ชิงอย่าง Spurs ไปในรอบสุดท้าย แถมหลังจากฤดูกาลนี้สิ้นสุดลง James ก็ประกาศขอกลับไปที่ Cavaliers ทีมเดิมที่เคยจากมาท่ามกลางความงุนงงของทุกฝ่ายว่าเกิดอะไรขึ้นกับตัวเขาและทีมกันแน่ แต่นั่นก็ทำให้ยุค Big 3 ของ Heat สิ้นสุดลงตั้งแต่นั้นเช่นเดียวกัน

 

ผลงานที่ย่ำแย่หลังการจากไปของ James

หลังจากที่ James ได้จากทีมไปแล้ว ทีมยังคงหาทางในการรักษาความเป็นหนึ่งในตัวเต็งแชมป์ลีกให้ได้อย่างยาวนานที่สุด เริ่มจากการที่ทีมสามารถเจรจาต่อสัญญาอีก 2 คนที่เหลืออย่าง Bosh และ Wade ออกไปได้ทั้งคู่ แถมยังมีการเดินหน้าเสริมขุมกำลังอีกหลายคนที่นำโดย Luol Deng อีกด้วย

อย่างไรก็ดี ผลงานในฤดูกาล 2014/15 กลับดูไม่ดีนักหากเทียบกับยุคสมัยของ Big 3 ยังดีที่ทีมสามารถเซ็นสัญญา Hassan Whiteside และ Goran Dragic มาได้ก่อนที่ตลาดผู้เล่นจะปิดตัวลงอย่างเป็นทางการ ซึ่งต่อมาได้กลายมาเป็นส่วนสำคัญของทีมได้อย่างรวดเร็ว

ผลงานของทีมในช่วงกลางฤดูกาลดูเหมือนจะกลับมาดูดีขึ้นอีกครั้ง จนกระทั่งในช่วงท้ายเดือนกุมภาพันธ์ที่หนึ่งในอดีต Big 3 อย่าง Bosh ประสบปัญหากับลิ่มเลือดอุตตัน ทำให้ไม่สามารถลงเล่นได้อีกเพราะอาจส่งผลกระทบถึงแก่ชีวิตได้ สุดท้ายแล้วทีมจึงจบฤดูกาลด้วยสถิติเพียงแค่ 37-45 เท่านั้น ไม่สามารถเข้าสู่รอบ Playoffs ได้ในท้ายที่สุด

ในฤดูกาล 2015/16 แกนหลักของทีมในตอนนี้ได้กลายเป็น Wade, Deng และ Dragic แทนแล้ว หลังจากที่ Bosh ไม่สามารถลงเล่นได้อีก ทีมจึงตัดสินใจคว้าผู้เล่นมากประสบการณ์อย่าง Joe Johnson และ Amar’e Stoudemire เข้ามาช่วยทีมอีกแรง ทำให้ทีมมีสถิติที่ดีขึ้นเป็น 48-34 และผ่านเข้ารอบ Playoffs ด้วยอันดับ 3 ของฝั่งตะวันออก แต่ก็ทำได้แค่เพียงรอบสองเท่านั้น ก่อนที่จะไปแพ้ให้กับ Raptors ลงในเกมตัดสิน

หลังจบฤดูกาลดังกล่าว Wade จึงทำการหารือกับหนึ่งในทีมบริหารอย่าง Riley และตัดสินใจช่วยเหลือทีมด้วยการขอย้ายออก เนื่องจากในตอนนั้นสภาพร่างกายและฟอร์มปัจจุบันไม่สามารถช่วยเหลือทีมได้มากเหมือนเดิมแล้ว ถึงแม้ว่า Riley จะหาทางตอบแทนด้วยการเสนอสัญญาก้อนโตให้ แต่ Wade เลือกที่จะปฏิเสธและถอยออกมาแทน ทำให้ทีมเข้าสู่โหมดการสร้างทีมใหม่นับตั้งแต่นั้น

 

 

เข้าสู่ยุคปัจจุบัน

เวลาได้ล่วงเลยมาจนกระทั่งฤดูกาล 2019/20 ถึงแม้ว่าในช่วงฤดูกาลที่แล้ว Wade จะได้กลับมาลงเล่นให้กับทีมในระยะเวลาสั้นๆ เพื่อปิดฉากอาชีพกับทีมที่อยู่มาเกือบจะทั้งอาชีพการเล่นลงอย่างสวยงาม ทีมได้มีการจัดงานอำลาอย่างยิ่งใหญ่ พร้อมกับประกาศแขวนเสื้อเบอร์ 3 ที่เจ้าตัวใส่เล่นอีกด้วย

ทีมค่อนข้างโชคดีที่หลังจาก Wade จากไปแล้ว ทีมมีขุมกำลังอายุน้อยหลายคน แต่ยังขาดผู้นำของทีมที่มีความโดดเด่น ทีมจึงมองหาและสามารถคว้าตัว Jimmy Butler ที่กำลังต้องการพิสูจน์ถึงความเป็นผู้นำของตนเองได้อย่างพอเหมาะพอเจาะ

ทำให้ขุมกำลังของทีมมีความสมบูรณ์มากในฤดูกาลนี้ และสามารถทำผลงานได้ถึงรองแชมป์ลีก ถึงแม้จะพ่ายให้กับ Lakers ไปอย่างน่าเสียดายก็ตาม

และถึงแม้ว่าในช่วงต้นฤดูกาล 2020/21 ผลงานของทีมจะดูไม่ดีนักเนื่องจากอาการบาดเจ็บของ Butler แต่หลังจากที่เขาฟิตสมบูรณ์แล้วผลงานของทีมก็ดีขึ้นอย่างผิดหูผิดตา จนน่าติดตามต่อไปว่าทีมจะสามารถกลับมาทวงบัลลังก์แชมป์สายตะวันออกได้อีกรอบหรือไม่

 

 

• เรื่องน่าสนใจ •